2355 ถูกริเริ่มโดยสหรัฐภายใต้การนำของประธานาธิบดีเจมส์ แมดิสัน ส่วนหนึ่งก็เพื่อปกป้องสิทธิทางการค้าของสหรัฐและเสรีภาพทางทะเลของประเทศที่วางตัวเป็นกลาง อีกกระแสสนับสนุนหนึ่งมาจากชาวอเมริกันผู้โกรธแค้นกองทัพแห่งสหราชอาณาจักรที่ให้การช่วยเหลือชนอเมริกันพื้นเมือง ต่อสู้ปกป้องที่ดินของตนจากนักบุกเบิกชาวอเมริกัน รวมไปถึงความกระตือรือร้นของสหรัฐในการขยายดินแดนทางทิศตะวันตกและทิศเหนือที่สะท้อนให้เห็นถึงคตินิยมความเชื่อในเทพลิขิต[16] ภายใต้แผนการรุกรานอเมริกาเหนือของอังกฤษ สหรัฐได้ทำการทำลายเมืองยอร์ก เมืองหลวงของอาณานิคมและตามมาด้วยชัยชนะในเดือนเมษายน พ. 2356 ณ สมรภูมิยอร์ก ส่งผลให้ในวันที่ 24 สิงหาคม พ. 2357 สหรัฐเผชิญการตอบโต้จากอังกฤษในเหตุการณ์เผาทำลายแห่งวอชิงตัน อาคารกระทรวงการคลังแห่งสหรัฐถูกรื้อทำลาย ส่วนทำเนียบขาวก็ถูกเผาจนวอด ต่อมาฝ่ายอังกฤษก็ได้ตอกย้ำชัยชนะของตนในสมรภูมิบลาเดนส์เบิร์ก บางส่วนของการรุกคืบเข้าไปยังอเมริกาเหนือของอังกฤษโดยกองกำลังสหรัฐ เช่น สมรภูมิชาโต-กวัย ในเดือนตุลาคม พ.
สหรัฐอเมริกา แปลว่าอะไร ดูความหมาย ตัวอย่างประโยค หมายความว่า
อังกฤษ vs อเมริกัน:... - พ่อผมเป็นคนอังกฤษ - Facebook
อังกฤษแบบ US ปะทะ UK - Hotcourses Thailand
2165 สิทธิบัตรหลวงจากแผ่นดินแม่ซึ่งได้รับการยินยอมจากเฟอร์ดินันโด จอร์จส์ และจอห์น เมสัน แห่งคณะกรรมาธิการพลีมัธสำหรับนิวอิงแลนด์ (Plymouth Council for New England) มีราชโองการให้จัดตั้งจังหวัดเมน มีพื้นที่ในแนวเหนือ - ใต้ระหว่างเส้นละติจูดที่สี่สิบ และเส้นละติจูดที่สี่สิบแปด ส่วนพื้นที่ในแนวตะวันออก - ตะวันตกกินพื้นที่ระหว่างชายฝั่งด้านตะวันออกของทวีปอเมริกาเหนือ (ชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก) ไปจนสุดทะเลฝั่งตะวันตกของทวีปอเมริกาเหนือ (ชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก) ในปี พ.
2385 (Webster-Ashburton Treaty) ที่ยุติข้อขัดแย้งเรื่องเส้นเขตแดนลง[25] ในปี พ. 2402 สงครามหมู (Pig War) อันปราศจากการนองเลือด ยุติข้อถกเถียงและคำถามถึงเส้นเขตแดนระหว่างอเมริกาเหนือของอังกฤษและสหรัฐบริเวณเกาะซานฮวนและเกาะกัลฟ์ แต่ภายหลังมีการลงนามสนธิสัญญาเคลย์ตัน-บุลเวอร์ ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศก็ได้รับการพัฒนาไปสู่ขั้นสำคัญอีกขั้นหนึ่ง ระหว่างปี พ. 2387 - 2391 ทั้งสองชาติมีความขัดแย้งกันในเรื่องการอ้างกรรมสิทธิ์เหนืออาณาบริเวณออริกอน โดยส่วนมากแล้วพื้นที่ดังกล่าวไม่มีผู้คนอยู่อาศัย ทำให้วิกฤตความขัดแย้งรอบใหม่นี้จบลงอย่างง่ายดายด้วยการแบ่งอาณาบริเวณดังกล่าวให้แก่สองฝ่ายโดยเท่าเทียมกัน อังกฤษได้พื้นที่ที่เป็นรัฐบริติชโคลัมเบียในปัจจุบันไป ส่วนสหรัฐได้พื้นที่ที่เป็นรัฐวอชิงตัน, รัฐไอดาโฮ และรัฐออริกอนในปัจจุบันไป จากนั้นสหรัฐได้หันความสนใจไปยังเม็กซิโกที่ได้แสดงท่าทีข่มขู่จะก่อสงครามจากการที่สหรัฐเข้ายึดครองดินแดนเท็กซัส อังกฤษพยายามบรรเทาท่าทีที่เกรี้ยวกราดของชาวเม็กซิกันลงแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ แต่เมื่อสงครามได้ปะทุขึ้น อังกฤษได้วางท่าทีที่เป็นกลาง ผลของสงครามทำให้สหรัฐได้ดินแดนแคลิฟอร์เนียมา ที่ซึ่งอังกฤษแสดงท่าทีที่สนใจเพียงเล็กน้อย[26] สงครามกลางเมืองอเมริกัน[แก้] ภาพวาดเรือ ซีเอสเอส อลาบามา ที่ฝ่ายสหพันธรัฐอเมริกาใช้โจมตีเรือสินค้า ในสงครามกลางเมืองอเมริกัน เป้าหมายหลักของฝ่ายสหพันธรัฐอเมริกา (ฝ่ายใต้) ก็คือการยอมรับสถานภาพความเป็นรัฐจากสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศส ซึ่งคาดการณ์ว่าจะนำประเทศทั้งสองไปสู่สงครามกับสหรัฐและจะทำให้ฝ่ายสหพันธ์ฯ ได้รับเอกราช แต่ด้วยการทูตอัญชาญฉลาดของฝ่ายสหรัฐ (ฝ่ายเหนือ) ทำให้ไม่มีประเทศใดให้การยอมรับสถานภาพความเป็นรัฐดังกล่าว สงครามระหว่างสหรัฐกับสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสจึงได้รับการหลีกเลี่ยง อย่างไรก็ตาม มีความรู้สึกจากหลายฝ่ายภายในสหราชอาณาจักรว่าควรสนับสนุนฝ่ายใต้เพื่อทำให้สหรัฐอ่อนแอลง[27] ในช่วงต้นของสงครามสหราชอาณาจักรได้ออกถ้อยแถลงประกาศความเป็นกลาง (proclamation of neutrality) ในขณะที่สมาพันธรัฐอเมริกากลับถือเอาด้วยตัวเองว่าสหราชอาณาจักรจะต้องเข้าร่วมสงครามอย่างแน่นอน เพราะต้องปกป้องแหล่งเพาะปลูกฝ้ายอันเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมของสหราชอาณาจักร ด้วยแนวคิดนี้เองเป็นหนึ่งในหลายเหตุผลที่ทำให้ฝ่ายสมาพันธ์ฯ เกิดความมั่นใจมากเพียงพอที่จะเข้าสู้รบในสงครามกับฝ่ายสหรัฐ แต่ถึงกระนั้นฝ่ายใต้กลับไม่เคยปรึกษาหารือกับชาวยุโรปเลยแม้แต่น้อย ซ้ำร้ายยังส่งนักการทูตไปยังยุโรปล่าช้ากว่าฝ่ายเหนืออีกด้วย และเมื่อก่อนสงครามจะเริ่มในเดือนเมษายน พ.
2554 ระหว่างการเยือนสหราชอาณาจักรอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดี บารัก โอบามา เขาได้กล่าวสุทรพจน์ในหลากหลายประเด็น ณ รัฐสภาอังกฤษ หนึ่งในนั้นคือการเน้นย้ำถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างสหราชอาณาจักรและสหรัฐ[77] ข้าพเจ้ามาในวันนี้เพื่อที่จะมาเน้นย้ำถึงหนึ่งในพันธมิตรที่เก่าแก่ที่สุด และแข็งแกร่งที่สุดเท่าที่โลกนี้เคยรู้จัก มันถูกกล่าวขานกันมานานแล้วว่าสหราชอาณาจักรและสหรัฐได้แบ่งปันสายสัมพันธ์พิเศษนี้ร่วมกัน— บารัก โอบามา ไม่กี่วันก่อนการลงประชามติเอกราชสกอตแลนด์ พ. 2557 ประธานาธิบดีบารัก โอบามา กล่าวต่อสาธารณชนเน้นย้ำส่วนได้เสียของสหรัฐในการเป็นหุ้นส่วนกับสหราชอาณาจักรที่ "เข้มแข็งและเป็นอันหนึ่งอันเดียว" ที่ซึ่งเขาอธิบายว่าเป็น "หนึ่งในพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดเท่าที่เราจะมี"[78] ประธานาธิบดีดอนัลด์ ทรัมป์ และนายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ ยังคงดำเนินสายสัมพันธ์พิเศษของทั้งสองประเทศไปตามปกติ ทางสหรัฐได้นำรูปสลักครึ่งตัวของวินสตัน เชอร์ชิล กลับไปประดับไว้ในห้องทำงานรูปไข่ของทำเนียบขาวตามเดิม นอกจากนี้ในช่วงที่เทเรซา เมย์ เยือนสหรัฐอย่างเป็นทางการ ประธานาธิบดีดอนัลด์ ทรัมป์ ยังได้เน้นย้ำถึงรกรากของครอบครัวทางฝ่ายแม่ที่มาจากสกอตแลนด์อีกด้วย[79][80] การค้าและการลงทุน[แก้] สหรัฐถือว่าเป็นตลาดส่งออกรายใหญ่ที่สุดของสหราชอาณาจักร การจับจ่ายใช้สอยของชาวอเมริกันในผลิตภัณฑ์ของสหราชอาณาจักร พ.
2321 ตามลำดับ ถึงแม้ว่าอังกฤษจะประสบชัยชนะจากการโอบล้อมป้อมติคอนเดโกราใน พ. 2320 แต่ยุทธการซาราโตกาของฝ่ายอังกฤษกลับต้องพบกับความพ่ายแพ้ให้แก่กองทัพแห่งภาคพื้นทวีปภายใต้การนำของโฮราติโอ เกตส์ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปจากสมรภูมิซาราโตกา ต่อมาสงครามก็ดุดเดือดขึ้นจากการเข้ามาแทรกแทรงของราชอาณาจักรฝรั่งเศสใน พ.
2552 พบว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของชาวอังกฤษนิยมชมชอบสหรัฐ[75] เดือนกุมภาพันธ์ พ. 2554 หนังสือพิมพ์กรอบเช้ารายวันของอังกฤษ เดอะเดลี่เทเลกราฟ ซึ่งอ้างอิงหลักฐานจากวิกิลีกส์ ได้รายงานว่าทางการสหรัฐได้รับข้อมูลที่มีความอ่อนไหวง่ายเกี่ยวกับคลังสรรพาวุธนิวเคลียร์ของอังกฤษ (ซึ่งระบบขีปนาวุธนำวิธีทั้งหมดถูกผลิตและกักเก็บไว้ในสหรัฐ) ว่าอังกฤษได้ทำการจัดส่งอาวุธดังกล่าวให้แก่รัสเซียในฐานะเป็นเครื่องมือเพื่อกระตุ้นให้รัสเซียลงนามในสนธิสัญญานิวสตาร์ท โดยศาสตราจารย์มัลคอล์ม ชาลเมอร์สแห่งสำนักงานสถาบันเพื่อการกลาโหมและความมั่นคงศึกษาแห่งกองทัพสหราชอาณาจักร (Royal United Services Institute for Defence and Security Studies) พิจาณาว่ากรณีดังกล่าวอาจสร้างความสั่นคลอนราชการลับของสหราชอาณาจักรได้ โดยการที่รัสเซียอาจจะสามารถล่วงรู้มาตรวัดและขนาดของยุทโธปกรณ์อังกฤษ[76] 25 พฤษภาคม พ.
2550 มีมูลค่ารวมกว่า 5. 7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ[81] ส่วนมูลค่าโดยรวมของการส่งออกและนำเข้าระหว่างสองรัฐมีมูลค่า 107. 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีเดียวกัน[82] ทั้งสหรัฐและสหราชอาณาจักรต่างก็เป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในโลกร่วมกัน ในปี พ. 2548 การลงทุนโดยตรงของสหรัฐในสหราชอาณาจักรมีมูลค่ารวม 324 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่การลงทุนโดยตรงของสหราชอาณาจักรในสหรัฐมีมูลค่ารวม 282 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[83] ในการแถลงข่าวที่อ้างอิงถึงสายสัมพันธ์พิเศษหลายครั้งในวันที่ 9 กันยายน พ.
'คนเชื้อสายอินเดีย'ปกครองอังกฤษ 'อเมริกา'ฤาเป็นม้าไม้ทำลายตะวันตก
ย้อนราลึกความสัมพันธ์ไทยกับสหรัฐอเมริกาในร D - ThaiJO
ความสัมพันธ์สหราชอาณาจักร–สหรัฐ - วิกิพีเดีย
เที่ยวบินราคาถูกจากสหรัฐอเมริกาไปสหราชอาณาจักร - Skyscanner